จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่อความสงสัยเป็นปัญหาและฉันเริ่มหาคำตอบ เรื่องที่5 นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา


มะละกาและจอร์จทาวน์
ที่มา: http://4.bp.blogspot.com/-0OT2-AJLheU/U991ZGq6P

มะละกา (มลายูMelakaยาวีملاكอังกฤษMalacca) เป็นรัฐทางตอนใต้ในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา รัฐมะละกาเป็นหนึ่งในสองรัฐของมาเลเซียที่ไม่มีเจ้าผู้ครองรัฐเป็นประมุขแต่มีผู้ว่าราชการรัฐแทน
ในอดีต มะละกาเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตกบนช่องแคบมะละกามากว่า 500 ปี มีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมโปรตุเกส ดัตช์ และมลายู ได้รับการยกย่องให้เป็นนครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกาจากองค์การยูเนสโก ด้านการค้าขายและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกกับตะวันตกบนช่อง แคบมะละกา อิทธิพลของเอเชียและยุโรปได้ผสมผสานทางวัฒนธรรม ตึกที่ทำการของรัฐบาล โบสถ์ จตุรัส และป้อมปราการต่าง ๆ ทำให้เห็นภาพมะละกาในยุคต้นของประวัติศาสตร์ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากรัฐสุลต่านมาเลย์ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ (พุทธศตวรรษที่ ๒๐)
ที่มา: http://www.sadoodta.com/files/files/picfront/Melaka.jpeg

ความสำคัญ

                   เมืองมะละกาเป็นเมืองท่าสำคัญบนช่องแคบมะละกาซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญโดยเฉพาะในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่มะละการุ่งเรืองมาก นั่นจึงเป็นเหตุให้เมืองนี้เป็นที่หมายปองของบรรดาจักรวรรดินิยม จนในที่สุดโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามายึดครองในปี พ.ศ. 2054-2184 ก่อนที่จะถูกดัตช์ (ฮอลแลนด์) เข้ามาครอบครองต่อในปี พ.ศ. 2184-2338 ก่อนที่จะเปลี่ยนมือผู้ปกครองมาเป็นอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2338-2484 แล้วญี่ปุ่นก็เข้ามายึดต่ออีกทีในช่วงสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ.2484-2488 จากนั้นมะละกากลับไปอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2488-2500  มาเลเซียปลดแอกเป็นไทด้วยการประกาศอิสรภาพ ในปี พ.ศ. 2500 สถานที่ประกาศเอกราชคือ มะละกา ซึ่งในปัจจุบันตึกอนุสรณ์ในประกาศอิสรภาพยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในมะละกา
ที่มา: http://www2.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1013670

               มะละกา เป็นเมืองวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยร่องรอยของประวัติศาสตร์สำคัญของมาเลเซีย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น นครแห่งประวัติศาสตร์ ของชนขาติมาเลเซียสถานที่สำคัญของมะละกา คือ บริเวณจตุรัสแดง บนถนน Lak sa ma na หรือที่เรียกว่า จัตุรัสดัตช์ เนื่องจากที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู ซึ่งแวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกอันสวยงาม มีใจกลางจัตุรัส เป็นลานน้ำพุเก่าแก่แบบอังกฤษที่สร้างถวายแด่ราชินีวิคตอเรียในปี พ.ศ. 2447 และมีสถาปัตยกรรมแบบดัตช์สีแดงโดดเด่น ประกอบไปด้วย โบสถ์คริสต์ ศิลปกรรมดัตช์ประยุกต์ ทีสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2296 และอาคารสตัดธิวท์ (Stadhuys) ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2193 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันอาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและวรรณคดีที่น่าสนใจยิ่งของมะละกา
ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thu

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่อความสงสัยเป็นปัญหาและฉันเริ่มหาคำตอบ เรื่องที่4 โลโร จองรัง (ปรัมบานัน)มรดกโลกอินโดนีเซีย

ปรัมบานัน 

ที่มา: http://tourtooktee.com/files/im

ปรัมบานัน หรือ จันดีราราจงกรัง (อินโดนีเซียCandi Rara Jonggrang) คือเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลางห่างจากเมืองยกยาการ์ตาไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร ตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นาน ตัววัดก็ถูกทอดทิ้งและถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมาการบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลงเมื่อปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ในปัจจุบัน ปรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47 เมตร
                                              ที่มา: http://www.yogyakartatours.com/wp


           ปรัมบานัน มีที่มาจากตำนานพื้นบ้าน ที่ว่ากันว่าโลโรจงกรังเป็นเจ้าหญิงแสนงาม(โลโรจงกรังภาษาถิ่นหมายถึงหญิงสาวร่างอรชร) จึงมียักษ์มาขอแต่งงาน เจ้าหญิงไม่กล้าปฏิเสธ แต่ทรงขอให้ยักษ์สร้างจันทิให้ได้ 1 พันหลังถึงจะแต่งงานด้วย ยักษ์จึงใช้เวทย์มนต์สร้างจันทิจนเกือบจะเสร็จสิ้น ส่วนเจ้าหญิงก็ใช้เวทมนต์ทำลายจันทิเหล่านั้นเพราะไม่ต้องการแต่งงานด้วย ทำให้ยักษ์โกรธจัดจึงสาปเจ้าหญิงให้กลายเป็นหินแล้วนำรูปมาทำประติมากรรมประดิษฐานอยู่ในปนัมบานันแห่งนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกขานกันว่ารูปโลโรจงกรัง” 

                                               ที่มา: http://www.naturalis-expeditions.com/
ปรัมบานัน  (Prambanan)  ศาสนสถาน ฮินดูที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดของอินโดนีเซีย 
 มีลักษณะเป็นหมู่ศาสนสถานฮินดู  (Hindu  Temple  complex)  ตั้งอยู่บนเกาะจาวา  (Java)  (ไทยเรียกชวา)คนท้องถิ่นอินโดนีเซียเรียก ปรามบานัน  ว่า  วัดโลโร  จองรัง  (Loro  Jongrang Temple)  เป็น ศาสนสถานของฮินดูที่ยิ่งใหญ่และงดงามไปด้วยลวดลายแกะสลักหินอันวิจิตร 
กษัตริย์ที่ครองราชย์ต่อจาก พระเจ้าบาลีตุงทรงพระนามว่า พระเจ้าทักษา  (ค.ศ. 910 – ประมาณ  ค.ศ. 919)  พระองค์อาจจะเป็นผู้สร้างเทวสถานปรามบานันก็ได้ เทวสถานแห่งนี้ใหญ่โตมาก มีวิหาร  156 หลังอยู่รอบๆกลุ่มวิหารขนาด ใหญ่  8  หลังซึ่งรวมกันอยู่ ตรงกลางโดยมีวิหารของพระศิวะเป็นเทวสถานที่สำคัญและเด่นที่สุดและทำเป็นระเบียงภาพสลักนูนตามระเบียงซึ่งแสดงตอนต่างๆของเรื่องรามายณะก็อาจถือได้ว่าเป็นตำราของคัมภีร์ศาสนาฮินดู
ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/

        พระวิษณุ  คนไทยรู้จักในนามว่า พระ นารายณ์ ซึ่งไวษณวนิกายถือว่าพระองค์เป็นพระเจ้า สูงสุด  พระวิษณุเป็นหนึ่งในตรีมูรติ(ตฺริมูรฺติ)ได้แก่  พระวิษณุ  พระศิวะ  พระ พรหม  (พรหมา)
พระ วิษณุเขียนด้วยอักษรเทวนาครี  (Devanagari)คือ  “วิษณุ”  (Vishnu)ซึ่งใช้ในภาษาสันกฤตภาษาฮินดี  (ภาษาราชการของอินเดีย)และอ่านอย่างภาษาไทยได้ว่า  “วิษณุ
        ในฤคเวท  พระวิษณุ เป็นเทพที่ไม่มีบทบาทสำคัญ แต่คอยช่วยพระอินทร์ในการต่อสู้กับศัตรูชั่วร้ายที่ทรงอำนาจ พระวิษณุมี หน้าที่รักษาจักรวาลที่พระพรหมได้สร้างขึ้นก่อนที่จะถูกพระศิวะทำลายในที่สุดพาหนะของพระวิษณุคือ ครุฑพระ วิษณุเมื่อแสดงเป็นรูปบุคคลมีพระวรกายสีน้ำเงินเข้มมี  4  กร  ถือดอกบัว  คทา  (กระบอง)  จักร และ สังข์ อาวุธอย่างอื่นมี  ธนูศา รฺงฺค  สังข์ปัญจชันยะ  มีพระ ขรรค์ชื่อนันทกะและสวรรค์ที่พระวิษณุปกครองอยู่กับพระลักษมีมีชื่อว่า  ไวกุ ณฐะในมหากาพย์รามายณะนั้นพระราม คือ  พระวิษณุอวตาร และนางสีตา  (สีดา) คือ พระลักษมีอวตาร
                                                  ที่มา: http://2.bp.blogspot.com/_qm

เมื่อความสงสัยเป็นปัญหาและฉันเริ่มหาคำตอบ เรื่องที่3 จามปาอาณาจักรที่หายไป

อาณาจักรจามปา

ที่มา: https://vietnamlandtours.files.wordpress.com/

อาณาจักรจามปา(ค.ศ.192-1720) คืออาณาจักรโบราณในเวียดนาม  เราทราบเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ได้จากจดหมายชาวจีนสมัยราชวงศ์เหลียง ที่บันถึงในปีค.ศ. 200-230 โดย ม้าต้วนหลิน เนื่องจากจามปาเดินทางไปจีนที่แคว้นกวางตุ้งและตังเกี๋ยชื่อว่า ลูไต จีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า ลิ้นยี้


เรื่องราวของจามปาปรากฏขึ้นประมาณ คริสศตวรรษที่ 2 มีที่ตั้งอยู่เวียดนามตอนใต้ปัจจุบัน บริเวณจังหวัดหัวเทียน ภาษาพูดของพวกจามอยู่ในตระกูลอินโดนีเซีย-มาเลเซีย ความเจริญของจามปาไล่เลี่ยกับอาณาจักรฟูนัน ปฐมกษัตริย์ของจามปาคือ จูเหลี่ยน ได้ตั้งราชวงศ์ขึ้นปกครองตั้งแต่ปี ค.ศ. 372 มราชธานีอยู่ที่ เมืองวิชัย หรือ บินดินห์ จามปามีกษัตริย์ปกครองประเทศถึง 12ราชวงศ์


                             
ที่มา: http://achiraya-veatnam.blogspot.com/2015/


              อาณาจักรจามปาเป็นอาณาจักรโบราณตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 7 อยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรจีนหรือตอนกลางของเวียดนามและอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรฟูนัน  ในปัจจุบันก็คือบริเวณที่เป็นเมืองเว้ เมืองกว่างนาม เมืองถัวเถียน เมืองผันรังและเมืองญาตรังของเวียดนาม  เนื่องจากในสมัยก่อนดินแดนดังกล่าวเป็นพื้นทีนี้เป็นเขตทุรกันดารและป่าเถื่อน ห่างไกลจากเมืองจีน และเป็นต้นเหตุให้อาณาจักรจีนไม่สามารถปราบปรามและครอบครองดินแดนส่วนนี้ได้

พุทธศตวรรษที่ 17 นั้นชาวจามปาได้ถูกกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 กษัตริย์อาณาจักรเขมรโจมตี และต่อมาในพ.ศ. 1856 พ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยส่งกองทัพมาตี และใน พ.ศ. 2014 ราชวงศ์เลของชาวเวียดนามได้ยกมาตีราชธานีกรุงวิชัย (บิ่ญดิ่ญ) จนแตก จนชาวจามเสียชีวิต 60,000 คน เป็นเชลยอีก 30,000 คน ทำให้เสียความเป็นชาติไป โดยเป็นเมืองขึ้นญวน และบางส่วนได้อพยพมาในอาณาจักรสยามและมาเป็นอาสาจามในอยุธยาโดยมาความรับผิดชอบด้านเรือทะเล โดยได้เป็นพนักงานกำปั่นหลวงตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชจนถึงรัชกาลที่ 5

>>ด้านศาสนา<<

-ในช่วงต้นรับลัทธิพราหมณ์จากอนเดียลัทธิไศวนิกาย
-ในสมัยกษัตริย์อินทรวรวมัน มีการนับถือพุทธศาสนามหายานดดยพบหลักฐานคือ พระพุทธรูปสัมริดที่เมืองดงเดือง

 >>ด้านการปกครอง<<

            - มีการปกครองแบบเทวราชาแบบอย่างจากอินเดีย รับคติการตั้งราชวงศ์มีการสร้างราชธานีเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครอง
          - ลักษณะการปกครองเป็นแบบนครรัฐ แต่ไม่สามารถรวมรัฐต่าง ๆ ให้มันคงได้อย่างฟูนัน

            >>ด้านสังคม<<

          - มีการแบ่งชนชนชั้นทางสังคม เป็น 3 ชนชั้นคือ ชนชั้นปกครอง ผู้ดี ไพร่
          - มีการรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม สร้างบ้านเรือนด้วนอิฐฉาบปูน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
          - ชาวจามชอบการสู้รบและรู้จักการเล่นดนตรี
          - มีประเพณีการแต่งงานโดยที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายไปสู่ขอผู้ชายและอาจแต่งงานในสกุลเดียวกันได้ มีพิธี
สตรีเหมือนในอินเดีย คือเมื่อสามีตายภรรยาจะโดดเข้าไปในกองไฟเพื่อตายตามสามี

          -
พิธีการทำศพ นิยมการทำศพแบบเผาแล้วนำกระดูกไปทิ้งทะเ

            >>ด้านเศรษฐกิจ<<

          - มีการส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้จีน เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและเสถียรภาพทางการเมือง กษัตริย์พระองศ์แรกที่ส่งเครื่องบรรณาการไปจีนคือ ฟันยี่ ใน ค.ศ. ๔๖๔
          - มีการทำการเกษตรการค้าทางทะเล จึงทำให้อาณาจักรมีฐานะค่อนข้างดี จึงสามารถสนับสนุนแสนยานุภาพทางกองทัพและสามารถขยายอาณาเขตไปได้กว้าง

         ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb
   >>ศิลปวัฒนธรรม<<

             ได้รับวัฒนธรรมจากอินเดีย ทั้งในรูปแบบการปกครอง การสร้างเทวลัย การสร้างพระพุทธรูป มีการใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาราชการ นอกจากนั้น จามปายังได้รับวัฒนธรรมจีนด้วย คือในสมัยพระเจ้าฟันเชียงได้เคยยกกองทัพไปโจมตีประเทศจีน ซึ้งจีนต้องใช้เวลาถึง 10 ปีจึงจะสามารถขับไล่จามปาออกไปได้ จามปาจึงรับวัฒนธรรมจีนเข้ามาในตอนตอนนั้นแต่เพราะเหตุใดอาณาจักรจามปาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงได้สิ้นสุดลงในศตวรรษที่ 18 และจึงถูกกลืนชาติ  

          ถึงแม้ว่าจามปาจะมีราชวงศ์ปกครองต่อมาถึง ค.ศ. 1720 แต่ก็ตกอยู่ในฐานะเมืองประเทศราชไม่มีอำนาจในการปกครองตนเองแต่อย่างใด นับตั่งแต่ ค.ศ. 1720 เป็นต้นมาอาณาจักรจามปากได้สลายตัวลง
ที่มา: http://daily.khaosod.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่อความสงสัยเป็นปัญหาและฉันเริ่มหาคำตอบ เรื่องที่2 มหาราชผู้ทรงสถาปณานครวัด


มหาราชผู้ทรงสถาปณานครวัด

ที่มา: http://www.watpatungkulachalermraj.com/


ที่มา: https://i.ytimg.com/vi/lr-PGa8hZwY/maxresdefault.jpg


               นครวัด (เขมรអង្គរវត្ត) เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เริ่มสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดูซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก เทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา
ที่มา: https://www.google.co.th/search?q=รูปภาพ+ชัยวรที่2


จักรวรรดิเขมร..ใครคือผู้สร้างนครวัด

               
นครวัดสร้างในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้ครองอาณาจักรขอมช่วง พ.ศ.1656-1693 ซึ่งขณะนั้นพราหมณ์ฮินดูไวษณพนิกาย นับถือพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นมหาเทพ รุ่งเรือง สุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างปราสาทนครวัดเป็นเทวาลัยบูชา และให้เป็นที่เก็บพระศพของพระองค์ (ทรงได้พระนามภายหลังสิ้นพระชนม์ว่า บรมวิษณุ ส่งผลนครวัดมีอีกชื่อว่า บรมวิษณุมหาปราสาท) นครวัดจึงแตกต่างกับปราสาทอื่นๆ ตรงที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของผู้ตาย แทนทิศตะวันออกตามขนบธรรมเนียม

               ล่วงเข้าสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเปลี่ยนนครวัดเป็นศาสนสถานพุทธนิกายมหายาน จากช่วงเริ่มสร้างกลางพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ.1650-1693) ที่เป็นเทวสถานฮินดู ครั้นถึง พ.ศ.1720 จามบุกขอม ชัยวรมันที่ 7 ต้องทรงย้ายไปเมืองนครหลวง ให้สร้างเมืองนครธมและปราสาทบายน ห่างจากนครวัดไปทางเหนือ เป็นเมืองหลวงใหม่

ที่มา: http://golfdigest-th.com/2016/wp-content/upload
 เวลาผ่านเนิ่นนานถึงสมัยนักองค์จันทร์ (พ.ศ.2059-2099) อาณาจักรขอมยุคเมืองพระนครซึ่งล่มสลายโดยสิ้นเชิงไปแล้วด้วยฝีมือ “เจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา” ที่ยกทัพไปตีทำลายขวัญเมืองนครธม หรือกรุงศรียโสธรปุระ ชนิดมิอาจฟื้นคืน









พระราชประวัติและบทบาทความสำคัญ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2


         พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (เขมรជ័យវរ្ម័នទី២อังกฤษJayavarman II) คือผู้รวมอาณาจักรขะแมร์ทางใต้ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาและประกาศให้เขมรเป็นเอกราชไม่อยู่ใต้อำนาจของชวาอีกต่อไปเป็นผู้วางรากฐานการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ในฐานะอันสูงส่ง ที่เรียกว่า เทวราชา ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 770 – ค.ศ. 835 นั้น มีการโยกย้ายราชธานีถึง 4 ครั้ง

        ความสำคัญ ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่เข้มแข็ง ทรงปราบกบฏในอาณาจักรและแว่นแคว้นโดยรอบจนราบคาบ ยกเว้นเพียงอาณาจักรไดเวียดเท่านั้น ทรงขยายอาณาจักรเขมรโบราณไปกว้างใหญ่ยิ่งกว่ากษัตริย์องค์ก่อนๆ แต่ความยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์คือ ทรงสร้างมหาปราสาทนครวัด ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก เพื่ออุทิศให้แก่พระวิษณุเทพ ที่พระองค์ทรงนับถือ แทนไศวนิกายและพุทธมหายานตามกษัตริย์องค์ก่อนๆ แต่ปราสาทแห่งนี้ก็สร้างไม่เสร็จครบถ้วนตามพระประสงค์ในรัชสมัยของพระองค์

ที่มา: BondGallery 

      เมืองพระนครหรือแองกอร์(Angkor)คือหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรในอดีตทั้งยังสะท้อนภูมิปัญญาอันชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรมและประติมากรรมของบรรพชนขอมโบราณเมืองพระนครและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมภายใต้ชื่อ"พระนคร"เมื่อปีพ.ศ.2535หลังจากสงครามกลางเมืองในเขมรยุติแล้วองค์การยูเนสโกได้เข้ามาช่วยบูรณะฟื้นฟูปราสาทและได้จัดตั้งโครงการอย่างกว้างขวางเพื่อป้องกันสถานที่และบริเวณโดยรอบเมืองพระนครได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกโดยคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม





วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมื่อความสงสัยเป็นปัญหาและฉันเริ่มหาคำตอบ เรื่องที่1ความลับของทุ่งไหหิน


สวัสดีค่ะเพื่อนๆและทุกๆคน เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติถึงมีความสวยงามและเราหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดจากอะไรและทำไปเพื่ออะไร ขอแทนตัวเองว่าชีนะคะ วันนี้ชีจะมานำเสนอแหล่งมรดกและได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันของประเทศบ้านพี่เมืองน้องเราเองค่ะ ถ้ากล่าวถึงประเทศลาวทุกคนคงนึกถึงความสวยงามที่มากไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมอันสวยงามและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วันนี้จะนำเสนอแหล่งมรดกวัฒนธรรมที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวและไขปริศนาไหหิน

ที่มา: VOV world


           ไหหินโบราณมากมายที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 600 กิโลกรัมถึง 1 ตัน มีอายุ 2500 ปี ถึง 3 พันปีที่ทุ่งนาในเขตเมืองแปกซึ่งเป็นเมืองเอกของแขวงเชียงขวางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศลาวถือเป็นปริศนาให้แก่นักโบราณคดีและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่
ตามตำนานของลาวกล่าวไว้ว่า ช่วงศตวรรษที่ 8 นักรบผู้กล้าหาญของลาวที่ชื่อว่าท้าวขุนเจืองได้ยกกำลังพลไปทำสงครามแล้วก็ได้ชัยชนะเหนือสมรภูมิที่เชียงขวางหลังจากได้รับชัยชนะแล้วก็ได้ทำการฉลองชัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา7เดือนไหที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นไหเหล้าสำหรับเลี้ยงไพร่พลในการฉลองชัยชนะของท้าวขุนเจืองในคราวนั้นส่วนคนลาวทั่วไปเชื่อว่า ไหเหล่านี้เป็นแก้วสำหรับดื่มเหล้าของเหล่าเทวดา นายบุญมีชาวเชียงขวางกล่าวว่าเกี่ยวกับที่มาของทุ่งไหหิน  ไหหินเหล่านี้ผลิตที่ไหน นำมาที่นี่ด้วยวิธีการใด และใช้ทำอะไร ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังคงเป็นปริศนาซ้ำประชาชนที่อาศัยในเขตนี้ก็ไม่มีกิจกรรมด้านวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับไหหินเหล่านี้ซึ่ง ชนเผ่าที่ผลิตไหหินเหล่านี้อาจจะสูญหายไปหมดแล้ว”  
                                                           
  ที่มา: VOV world
            จากการค้นหาข้อมูลจากหลายๆแห่งบ้างกล่าวว่า ไหหินส่วนใหญ่สกัดมาจากหินทรายที่หาง่ายในท้องถิ่น แต่มีอยู่หลายใบที่มีร่องรอยการชักลากมาจากที่อื่น บางไหมีลักษณะสกัดยังไม่เสร็จก็มี รอบๆไหหินพบลูกปัดจากจีน เครื่องประดับของชนเผ่าไท และรูปสำริดเวียตนาม จึงพอจะคาดเดาว่าชนเผ่าที่สร้างหินไหขึ้นมานี้จะต้องมีความเจริญและอารยธรรมสูง นักโบราณคดีรุ่นหลังๆลงความเห็นว่า เจ้าของอารยธรรมชิ้นนี้ อาจเป็นฝีมือของพวกจามในเวียตนามที่ล่มสลายไปแล้วหรือเป็นฝีมือชาวลาวทิง ที่อาศัยอยู่ในแขวนอัตตะปือ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศลาว
            ความงามที่แปลกใหม่ และเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของบรรดาไหหินที่ยังไม่มีคำตอบได้ทำให้ทุ่งไหหินได้รับความสนใจจากนังท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากโดยทุกปี มีนักท่องเที่ยวมาเยือนทุ่งไหหินกว่า 1 ล้านคนซึ่งร้อยละ 60 เป็นชาวต่างชาติ นักท่อเที่ยวชาวต่างชาตินหนึ่งกล่าวว่า "ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มาเที่ยวทุ่งไหหินโบราณและลี้ลับนี้ แม้จะมีสมมุติฐานที่แตกต่างกะนแต่ผมรู้สึกศรัทธาต่อฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมของชาวลาว"
ที่มา: oceansmaile.com



FACT ABOUT INDONESIA

  Indonesia อินโดนีเซีย ( อินโดนีเซีย : ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ( Republic of Indonesia ) เป็น หมู่เกาะ ที่ใหญ่ที่...